โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว หรือโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) |
|||||
เป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีลักษณะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างอารมณ์ซึมเศร้า (major depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ (mania หรือ hypomania episode) ซึ่งอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งในด้านการงาน การประกอบอาชีพ ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และการดูแลตนเองอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ |
|||||
ในระยะซึมเศร้า ผู้ป่วยจะมีอาการต่อไปนี้ติดต่อกันยาวนานมากกว่า 2 อาทิตย์ คือจะรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมด จากเดิมชอบอ่านหนังสือ ติดละคร หรือดูข่าว ก็ไม่สนใจ บางคนจะมีอาการซึมเศร้า อารมณ์อ่อนไหวง่าย ร้องไห้ง่าย บางคนจะหงุดหงิดง่ายขี้โมโห ทนเสียงดังไม่ได้ ไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย อาการเบื่ออาจเป็นมากจนไม่อยากคุยกับใคร รู้สึกเบื่ออาหารได้ทำให้น้ำหนักลด ความจำก็แย่ลง ทำให้มักหลงลืมเพราะสมาธิไม่ดี ใจลอย ตัดสินใจอะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่มั่นใจ ผู้ป่วยจะมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบ คิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่น รู้สึกไร้ค่า ไม่มีค่า ไม่มีใครสนใจตนเอง อนาคตคงเลวร้าย ถ้าตายไปคงจะดีจะได้พ้นทุกข์เสียที ซึ่งอาการจะเหมือนคนเป็นโรคซึมเศร้า |
|||||
ในระยแมเนีย ผู้ป่วยจะมีอาการเปลี่ยนไปอีกขั้วหนึ่งเลย คือจะมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก รู้สึกว่าตัวเองเก่ง ตัวเองมีความสามารถ ความคิดแล่นเร็วจนบางครั้งตัวเองก็พูดไม่ทันความคิด การพูดจาจะลื่นไหล พูดเก่ง พูดมาก คล่องแคล่ว มนุษยสัมพันธ์ดี อารมณ์ดี ใช้จ่ายเกินตัว มีโครงการต่างๆที่จะทำมากมายแต่เป็นโครงการที่ไม่มีทางเป็นไปได้หรือเกินตัว ไม่นอนต้องการการพักผ่อนน้อยกว่าปกติ ด้วยความที่สนใจสิ่งต่างๆ มากมาย จึงทำให้วอกแวกมาก ไม่สามารถอดทนทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ ทำให้มองเหมือนว่าผู้ป่วยทำงานเยอะ แต่ก็ไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ขาดความยับยั้งชั่งใจพอนึกอยากจะทำอะไรต้องทำทันที ค่อนข้างเอาแต่ใจตนเอง หากมีใครมาห้ามหรือขัดใจจะโกรธรุนแรงถึงขั้นอาละวาดก้าวร้าวได้ |
|||||
|
|||||
|
|||||
1. ปัจจัยด้านพันธุกรรม โดยพบว่าเด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า |
|||||
|
|||||
อัตราการเกิดโรคครั้งแรกพบบ่อยที่สุดในช่วงอายุ 15-19 ปี และรองลงมา คือ อายุ 20-24 ปี ถือเป็นโรคที่มีการดำเนินโรคเรื้อรัง และมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูง ประมาณ 70-90% ไบโพลาร์เป็นโรคที่สามารถรักษาได้และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ หากไม่ได้รับการเอาใจใส่ ติดตามดูแลอย่างเหมาะสม |
|||||
|
|||||
1. การรักษาด้วยยา แบ่งออกเป็นระยะต่างๆคือ | |||||
1.1 การรักษาระยะเฉียบพลัน เป็นการรักษาเพื่อลดอาการของผู้ป่วย และควบคุมอาการให้ดีขึ้นโดยเร็วที่สุดมักอยู่ใน 3-8 สัปดาห์หลังจากเริ่มรักษา |
|||||
|
|||||
2. การรักษาด้านจิตสังคม | |||||
|
2.1 Psychoeducation คือการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับตัวโรคทั้งหมด วึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น |
||||
|